ฝรั่งกร่าง ต่อยคนไทยโคม่าที่สมุย เมียทักรถสวย จู่ๆ ปรี่ทำร้าย

ฝรั่งกร่าง ต่อยคนไทยโคม่าที่สมุย เมียทักรถสวย จู่ๆ ปรี่ทำร้าย

2 ฝรั่งกร่าง ต่อยคนไทย ล้มหัวฟาดฟื้นสลบ หามเข้าไอซียู อาการโคม่า ขณะขับมอไซค์รับภรรยาหลังเลิกงาน เมียเผยตอนนี้สามียังไม่รู้สึกตัว ปมเหตุแค่ขับรถผ่านกัน เหตุเกิดที่สมุย ข่าว ฝรั่งกร่าง ต่อยคนไทย คดีสะเทือนขวัญซึ่งมีชาวต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง หลังจากเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา โลกออนไลน์ได้มีการแชร์คลิปเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายกันขึ้น โดยเรื่องราวเริ่มจากมีรถยนต์ปอร์เช่ สีขาว คนขับเป็นชาวต่างชาติ 2 คน ทราบชื่อต่อมาหลังถูกจับกุมตัว ได้แก่ นายบูเกย่า เวงซอง เรมอง โยเซฟ อายุ 34 ปี สัญชาติฝรั่งเศส และนายเวงซอง ยูลิออง เกราด เรเน่ อายุ 28 ปี สัญชาติฝรั่งเศสเช่นเดียวกัน

ทั้งคู่ก่อเหตุทำร้ายร่างกายชายชาวไทยรายหนึ่ง 

บริเวณหน้าริมถนนหน้าร้านหมูกระทะ หมู่ 2 ต.บ่อผุด อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี โดยหลังจากผู้สื่อข่าวเดินทางไปยัง รพ.เกาะสมุย เพื่อสอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากภรรยาของชายไทยที่ถูกชาวต่างชาติทำร้าย นางลักคณา อายุ 47 ปี

โดยภรรยาผู้บาดเจ็บ ได้เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุ นายสมควร อายุ 43 ปี ซึ่งเป็นสามีได้ขี่รถมารับตนหลังเลิกงาน โดยตนทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดอยู่ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลสมุย ระหว่างที่ตนซ้อนท้ายรถจยย. ได้มีรถยนต์ปอร์เช่ สีขาว ทะเบียนป้ายแดง ก-9999 กรุงเทพมหานคร ขับผ่าน ตนจึงบอกกับสามีว่า “รถสวยจังเลยเมื่อไหร่เราจะมีแบบนี้บ้าง”

จากนั้นก็ขี่รถจักรยานยนต์ตามหลังรถเก๋งคันดังกล่าว ระหว่างนั้นสามีได้แซงรถหรูไป แต่รถหรูกลับขับมาจี้ท้าย พร้อมบีบแตรเสียงดังจนสามีต้องจอดรถหน้าร้านหมูกระทะ พอเห็นเป็นชาวต่างชาติ ตนคิดว่าทั้ง 2 คงจะหลงทาง จึงเดินเข้าไปถามเป็นภาษาอังกฤษว่ามีอะไรให้ช่วยไหม

แต่ชายคนที่นั่งข้างคนขับได้เปิดประตูลงจากรถแล้วเดินเข้าไปชกต่อยกับสามีตน โชคดีพลเมืองดีได้เข้ามาช่วยห้าม แต่สามีตนก็ถูกชกเข้าใบหน้าจนทำให้หงายหลังล้มหัวฟาดพื้นเลือดออกปาก จากนั้นชายชาวต่างชาติทั้งสองคนได้ขับรถหลบหนีย้อนกลับทางเดิม และอาการล่าสุดของสามีตอนนี้ยังวิกฤตอยู่ ยังไม่รู้สึกตัว แพทย์ได้นำตัวเข้าห้องผ่าตัดเนื่องจากมีอาการเลือดคลั่งในสมอง

ทั้งนี้ในส่วนของคดีหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ่อผุด จับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองรายมาดำเนินคดีโดยทั้งคู่ให้การรับสารภาพว่า ลงมือก่อเหตุจริง เบื้องต้นได้ดำเนินคดีกับทั้งคู่ ในข้อกล่าวหา ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส โดยได้ค้านการประกันตัวจนกว่าจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

แก๊งเงินบุญ กลับมาระบาดหนัก อ้างสถาบันฯ หลอกเงินคนแก่

แก๊งเงินบุญ กลับมาอาละวาด เหิมเกริมหนัก อ้างสถาบัน เที่ยวนี้ส่งข้อความแชตหาผู้สูงอายุพบคนแก่โดนหลอกสูญเงินจำนวนมาก ปลอมเอกสารหลอกชาวบ้าน ให้จ่ายเงินค่าธรรมเนียม กลับมาออกอาละวาดอีกครั้งสำหรับ มิจฉาชีพที่หลายคนคุ้นในชื่อ แก๊งค์เงินบุญ โดยเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2565 เฟซบุ๊กแฟนเพจ Drama-addict ได้ออกมาเคลื่อนไหวแจ้งเตือนประาชบนให้เฝ้าระวังจะตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพกลุ่มดังกล่าว

โดยทางเพจดังได้โพสต์รภาพข้อความแชทเพื่อเตือนภัย พร้อมลงรายละเอียดไว้ว่า ตอนนี้มีแก๊งค์เงินบุญ ปล่อยข่าวในไลน์ที่ผู้สูงอายุ ชาวบ้านตามต่างจังหวัติดตามกันเยอะมากว่าจะมีการโอนเงินให้ ให้ไปกดเงินที่ตู้กรุงไทย โดยแอบอ้างสถาบันฯ มีการปลอมเอกสารหลอกชาวบ้าน ให้จ่ายเงินค่าธรรมเนียม และส่งเอกสารสำคัญ เช่น บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน บุ๊คแบงค์ให้

ตอนนี้ระบาดหนักมาก ชาวบ้านส่งเบาะแสมาหลายสิบคน แต่ละคนมาจากคนละกลุ่มไลน์ด้วย น่าจะมีชาวบ้านที่ต่างจังหวัดโดนหลายหมื่นคนแล้ว ฝากเจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่กวาดล้างแก๊งค์เงินบุญพวกนี้ด้วย

ขณะเดียวกันเเฟซบุ๊กเพจ Drama-addict ยังทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า มีเอกสารที่ปลอมแปลงแบบอุกอาจอีกเป็นจำนวนมาก แต่ไม่สามารถเผยแพร่ได้เนื่องจากเป็นการผิดกฏหมาย แต่เอกสารได้ส่งให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว

โดย จากคลิปแสดงให้เห็นว่า แก๊งคอลเซนเตอร์ ได้อ้างถึงเรื่องพัสดุ และได้ขอทราบชื่อนามสกุล ซึ่งชายในคลิปก็ได้แจ้งว่าตนชื่อ ศุวิไณย และสะกดชื่อตนให้ฟัง โดยเขาได้สะกดชื่อตนเองว่า “ศุวิไณยรลวค” เพื่อป่วนแก๊งต้มตุ๋น

และหลังจากที่เขาสะกดชื่อเสร็จ ทางแก๊งคอลเซนเตอร์ก็ได้ถามถึงนามสกุล ซึ่งผู้ถูกถามก็ได้ตอบว่า หำมหัศจรรย์ ก่อนจะเริ่มสะกดด้วย ห แต่ไม่ทันได้สะกดหมด ทางแก๊งคอลเซนเตอร์ก็ได้กดวางสายทันที

หลังจากที่คลิปดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตก็ต่างหัวเราะชอบใจกกับการแก้เผ็ดของชายในคลิป ซึ่งชาวเน็ตบางส่วนก็สนับสนุนในการแก้เผ็ด เพราะว่ายิ่งมีการแก้เผ็ดมากเท่าไหร่ แก๊งคอลเซนเตอร์ก็คงเบื่อและหยุดหลอกเงินประชาชนไปเอง

ส่วนที่ต้องฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานสังกัดด้วย ถือเป็นหลักประกันที่จะยืนยันได้ว่ามีศักยภาพในการรับผิดชิบค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวด้วยส่วนหนึ่ง ถึงแม้ว่าสิบตำรวจตรีนรวิชญ์ จะไม่มีเงินจ่าย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ทางครอบครัวมองว่ามีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ เพราะ ก่อนเกิดเหตุสิบตำรวจตรีนรวิชญ์ได้ไปรับเอกสารสำคัญที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล และทันทีที่ออกมา ก็ประสบอุบัติเหตุ ซึ่งจุดเกิดเหตุอยู่ห่างจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลไม่ไกล อีกทั้งวันเวลาที่เกิดเหตุ ก็ยังเป็นวันและเวลาราชการด้วย

Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป